P.pw - Shorten urls and earn money!

จีบสาวควรจะตัดกำลังคู่แข่งไปออก ไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม

ตัดกำลังคู่แข่งลงไปได้อีกเยอะโดยขอมั่นเธอผ่าน facebook อาจจะทำให้กำลังคู่แข่งกำลังจะจีบเธอหมดแรงและท้อไป ว้า..มีคู่หมั่นแล้ว อะไรประมาณนี้ ผมก้อทำเรื่อย โดย private ตรง Relation ship ว่าใครสามาเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้หญิงที่เราหมั่นผ่านทาง facebook ได้ และคนไหนเราไม่ต้องการให้คนอื่นหรือใครเห็นก็บล็อกซะ(แนะรายชื่อเพื่อนใน facebook ควรจะจัดเป้น group ไป เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึงของเราได้) เช่น ไม่อยากให้กิ๊กเราเห็น facebook เราใน relation ship ก็บล็อกเขาไว้ไม่ได้เขาเห้นส่วนนี้ก็ได้แล้ว ยกเว้นว่า เพื่อนผู้หญิงที่เราหมั่นผ่านทาง facebook เป็นเพื่อนกับกิกเราอีกทีหนึงนี่สิ ปัญหา ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว กิกเราก็ย่อมเห็น ฉะนั้นแล้วทางแก้ พยายามอย่าให้เป็นเพื่อนกันเลย แต่ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ต้องดูว่า ผู้หญิงที่เราหมั่นตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ตรง relation ship ใครสามารถดูความสัมพันธ์ของเขาได้บ้าง ส่วนมากแล้วปกติจะตั้งไว้ เป็นเพื่อนของเพื่อนโดยปกติ(default) ถ้าผู้หญิงที่เราหมั้นตั้งค่าการเข้าถึงแบบระบุบคคลแล้วละก็ให้รู้กันสองคน หรือในกลุ่มเพื่อนก็พอ หรือระบุเป็นรายชื่อไปยิ่งดี

สแปม (SPAM) คืออะไร ?

สแปม (SPAM) คืออะไร

    SPAM : E-mail that is not requested. Also known as "unsolicited commercial e-mail" (UCE), "unsolicited bulk e-mail" (UBE), "gray mail" and just plain "junk mail," the term is both a noun (the e-mail message) and a verb (to send it). Spam is used to advertise products or to broadcast some political or social commentary.
    Like viruses, spam has become a scourge on the Internet as hundreds of millions of unwanted messages are transmitted daily to almost every e-mail recipient as well as to newsgroups. Unfortunately for users and fortunately for spammers, as an advertising medium, spam does produce results. Even if only an infinitesimal number of users reply, it is still cost effective since e-mail is a very inexpensive way to reach people. (ข้อมูลจาก techweb.com)
    spam-mail
    spam คือ เมล์ที่เราไม่ต้องการ เป็นประเภทหนึ่งของ Junk เมล์ จุดประสงค์ของผู้ส่ง spam mail มักต้องการโฆษณาบริการต่าง ๆ ที่ตัวเองมีอยู่ spam mail เป็นการส่งอีเมล์แต่ละฉบับไปหาคนจำนวนมาก
    spam คือ e-mail ลักษณะหนึ่ง ที่ส่งถึงท่าน หรือคนทั่วโลก โดยผู้ส่งไม่จำเป็นต้องรู้จักท่านมาก่อน เพราะเขาใช้โปรแกรมหว่านแห ส่งไปทั่ว เท่าที่จะส่งไปได้ และมักเป็น e-mail ที่เราท่าน ไม่พึงประสงค์ เป้าหมายส่วนใหญ่ของ spam คือ เชิญชวนให้ท่านไปซื้อสินค้า หรือแนะนำเว็บทางการค้า ที่เจ้าของเว็บจ่ายเงินจ้าง hacker เก่ง ๆ ให้สร้าง spam ให้กับเว็บของตน หรืออาจเกิดจากนักเจาะระบบสมัครเล่น ที่ชอบทดลอง ก็เป็นได้ และปกติเราจะไม่สามารถควานหาตัว ผู้สร้าง spam ได้โดยง่าย เพราะพวกเขามีวิธีพลางตัว ที่ซับซ้อนยิ่งนัก เช่น login จาก server หนึ่ง กระโดดไปอีก server หนึ่ง แล้วจึงจะเริ่มเจาะ server เป้าหมาย ที่สถาบันผมเจอมาแล้วว่า มีคนเข้า server ผมได้ แล้วใช้เป็นทางผ่านไปเจาะ ญี่ปุ่นบ้าง อเมริกาบ้าง อังกฤษ บ้าง พอเช็ค account ก็เป็นของนักศึกษาที่ไม่เคยใช้ internet มาก่อนเลยก็มี
    โดยปกติ Server ทุกแห่ง จะไม่อนุญาติให้สมาชิกส่ง spam หากใครทำแล้วจับได้ จะถูกตัดสิทธิ์การใช้บริการทันที แต่ server บางแห่งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่อ่อน ทำให้มี hacker เข้าไปติดตั้งโปรแกรม หรือ set ระบบให้ส่ง spam ออกไป ถ้าผู้ดูแลระบบไม่มีความรู้เท่าทัน hacker ก็จะไม่สามารถจัดการอะไรได้ เพราะหลักการ และทฤษฏีเกี่ยวกับ server มีมากมาย
    * อยากไป spam mail อาจารย์ล่ะ เมื่อส่งการบ้านไม่ทัน สงสารอาจารย์  *

ที่มา thaill.com

เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้วแต่ไปยังไม่ถึงมัน แล้วจะทำยังไง

movie-goal        ถ้าใครก็แล้วแต่ที่คิดแต่เพียงว่า คงมีไม่กี่คนที่จะทำได้เพราะต้องใช้ความพยายามสูงเราไม่น่าจะรอด ก็ลองดูตัวอย่างเด็กกลุ่มนี้ดูล่ะกัน แล้วลองถามตัวเองดูว่าที่ตัวเองคิดอยู่นั้นมันจริงเหรอ มันคือมารที่มาขัดขวางเราหรือไม่ ลองคิดให้ดี
ถ้าคุณเดินอยู่กลาง ทะเลทราย แล้วรู้แน่ๆว่าเดินไปทางนี้แล้วคุณจะเจอน้ำแน่ๆ คุณจะเดินไปหรือไม่ ผมเชื่อว่าทุกคนจะเดินไป แต่ในโลกความเป็นจริงมันกลับกลายเป็นว่า คุณอยู่กลางทะเลทราย แต่คุณแค่พอจะรู้มาว่าไปทางนี้จะมีน้ำรออยู่ แล้วพอเดินไปซักพักก็ยังไม่เจอน้ำซักที คราวนี้อาการเขวก็จะเริ่มเกิดขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว คราวนี้ทิศทางเดินก็เริ่มเป๋ไปเป๋มา สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน เพราะไม่มั่นใจในทางที่เดิน ดีไม่ดีหาน้ำก็ไม่เจอ

        ข้อสำคัญคือคุณ เห็นภาพข้างหน้าหรือยัง (นั่นคือสิ่งที่พยายามเล่าให้ฟังในตอนแรก) คุณเชื่ออย่างมั่นใจไหมว่ามันคือสิ่งที่คุณอยากจะไปจริงๆ คุณจะเจออุปสรรคข้างหน้าอย่างลำบากยากเย็นแน่นอน กว่าจะไปถึง แล้วคุณจะว่าไง มั่นใจไหมที่จะไป ศรัทธาในทางที่จะเดินหรือไม่ ถ้าคุณมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะเดินไป ผมก็จะแนะนำให้ฟังว่าคุณจะเจออะไร คุณต้องทำอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ต้องพึงระวัง อะไรคือสิ่งที่ต้องปรับปรุงตัวเอง

วิธีจ้างงานโปรแกรมเมอร์สำหรับเด็กจบใหม่

iStock_programmer_analyst_CROPPED__1231779949_3065สำหรับเด็กจบใหม่จะมาจ้างเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น แน่นอน เรื่องต่อรองเงินเดือนนี่เป็นอะไรที่โดนกดๆกดแล้วกดอีก เพราะเด็กจบใหม่ไม่มีความรู้อะไรมากนักด้านประสบการณ์การพอ คิดว่าเราทำไป งั้นๆ ความในการสอบถามสัมภาษณ์ถามว่าผ่านงานอะไรมาบ้างแล้ว ก็ตอบว่าไม่เคยผ่านงาน เคยแต่ฝึกงาน ส่งผลงานนี่นั่นเข้าประกวดบ้าง ความรู้บอกว่าได้เลยว่า ยัง Junior อยู่ ได้ความรู้และทฤษฎีที่เรียนมา ยังขาดการนำไปใช้และประยุกต์ สำหรับเด็กจบใหม่โปรแกรมเมอร์เดือนขั้นต่ำราวๆประมาณ 15,000 บาท+Certificate

วิธีจ้างงานให้กับเด็กโปรแกรมเมอร์ใหม่ๆได้เกิด
เมื่อมี Senior เงินเดือนแพงกว่าเด็กจบใหม่ที่เข้ามาบรรจุใหม่ อยู่สองเท่า คือ เงินเดือนราวๆ30,000 กว่าบาท ซึ่งถ้ามี Senior มากกว่าสองคนแล้วจะก็ แล้วแต่ท่านจะคิดนั่งน้ำหนัก สำหรับผมแล้วว่าเงินเงินสามหมื่นกว่า จ้างเด็กโปรแกรมเมอร์จบใหม่ได้สองคนแน่ๆ และได้จำนวนงานเพิ่มขึ้น แต่ด้านประสิทธิการทำงานแล้วใกล้ๆ(เปรียบเทียบดุลยพินิจของท่านเอง)กันหรือใกล้เคียงกันระหว่าง senior และ junior ก็น่าคิดนะครับว่าจะจ้างใครดี ระหว่างได้สองแรง และแรงเดียวแต่ตรงนี้ขึ้นกับคุณว่า senior ทรงคุณค่าต่อทรัพยากรขององค์กรของท่านหรือไม่ ถ้าไม่ก็จ้างเด้กสองคนโปรแกรมเมอร์จบใหม่ดีกว่าครับ แต่ถ้า senior ของท่านมีความสำคัญมากและมีคุณค่าและทรงคุณค่าต่อองค์กรคุณควรจะเก็บรักษาไว้ให้ได้งานต่อไป sl_codecreater_programmerสมควรแก่การจ้างต่อไป แพงเท่าไหร่ผมก็ผมยอมจ่าย เพราะผมเชื่อมั่นในฝึมือคุณและตัวคุณ แต่ไม่แล้วก็จ้างเด็กจบใหม่เหอะ (ข้อดี ไฟแรง หนุ่มแน่น แนวคิดและวิธีการใหม่ กลยุทธ์ เทคนิค อัลกอริทึ่ม  alert ตลอด) แต่เด็กจบก็ยังสามารถต่อรองบีบราคาลงมาได้อีกเช่นว่าต่อรองว่า น้องยังไม่มีประสบการณ์ที่ไหนเลยเอาเป็นว่า หมื่นสี่ได้ไหม กดเด้กจบใหม่แล้วนะเนี่ย ถ้าน้องผ่านโปรพี่จะเพิ่มได้เป็น หมื่นห้าที่ตกลง ok ไหม ถ้าเด็กจบใหม่ไปสมัครงานควรตั้งเงินเดือนที่คาดหวังไว้สูงอีกนิดหนึ่งนะเผื่อนายจ้างต่อลงมา ผมว่าต้องต่ออยู่แล้วละ(ถ้าเก่งเจ๋งเทพจริง) ฉะนั้นควรตั้งเกินไว้จะได้ไม่ผิดหวังที่ตั้งเป้าหมายขั้นต่ำและเป้าหมายระดับกลางรับได้ และเป้าเกินความคาดหมาย  Yesss !!!….

ทัศนคติอีกมุมมองหนึ่ง

โลกหมุนตามสภาวะกาล คนหมุนตามวันเวลา และโอกาส การเติบใหญ่ จึงไม่ใช่ โตแค่ตัว ความคิดมุมมองต้องโตตาม สิ่งที่ใช่อาจไม่ใช่ สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น อย่าตัดสินอะไร เพราผู้พิพากษานั้นมีโอกาสตัดสินถูกและอาจตัดสินผิด จงมองโลกและมองตนเอง ผ่านวันเวลา โอกาสเป็นของคนที่เลือกโอกาสนั้น อย่าเพียรพยามให้คนอื่นสร้างโอกาสให้เรา จงสร้างโอกาสนั้นด้วยมือเราเอง

มารู้จักวิธีเอาตัวรอดกันในวันสิ้นโลก 2012

2009125_25161

เตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่เป็นคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)
2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน  
3. ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้าง) เป็นเวลา 7 วัน
** ระยะเวลาการเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงของโลก จะรวมแล้วมีระยะเวลาทั้งสิ้น 56 วัน**
** ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่ทวีปเอเซียในประเทศที่เป็นอริต่อกัน **
ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยก และแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด (โดยเฉพาะที่ Yellow Stone ในอเมริกา ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดลูกหนึ่ง)
5. คลื่นยักษ์จากทะเล
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา เช่น VIRUSTERIA , อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ , ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ฯลฯ
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมาก่อน (อันนี้ตรงกับแหล่งข้อมูลที่ผมค้นเจอในหลายๆแหล่งมาก น่าแปลกใจมาก)
8. อดอยากขาดแคลนอาหาร
การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 6 เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย (ถ้าเป็นชั้นใต้ดิน หรือในถ้ำจะดีมาก)
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก) และพยายามอย่ากินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์  
7. ยานพาหนะ เช่น จักรยาน เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (บางรายงานแจ้งว่าเวลานั้น ท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
การดูแลตัวเองในช่วงเวลาวิกฤติ
1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด
2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรค สารเคมีที่มนุษย์สร้าง (อันนี้ผมวิเคราะห์แล้ว จริงแท้ที่สุด ในเวลานั้นฝนจะอันตรายมาก มันจะเป็นฝนกรดชนิดรุนแรง)
3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด (นนี้ผมมีความเห็นว่า ควรพิจารณาเป็นกรณีไป อย่างเช่นถ้ามีคนต้องการความช่วยเหลือจริง และเค้าบาดเจ็บมอัา ก็ต้องช่วยเค้าตามหลักมนุษยธรรมนะครับ)
5. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
6. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย (ผมว่าข้อนี้สำคัญมากเหมือนกัน เพราะในระหว่างที่เกิดภัย ไม่มีใครหรอกครับที่จะกินอาหารที่ตัวเองมีอย่างจำกัดให้อิ่มตามความอยากของเรา ถ้ามันหมดขึ้นมากระทันหันล่ะเรื่องใหญ่ทีเดียว ฉะนั้นพวกเราจะหิวมาก ให้อดทนไว้ครับ)
7. ระวังอากาศที่หนาวเย็นจัด
8. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ ตะขาบ
9. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 2 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 2 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง (อันนี้จริงครับ)
การเตรียมทางจิตวิญญาณ
1. ชำระกรรมให้เบาบาง ทำได้โดย
   1.1 หยุดโลภ โกรธ หลง
   1.2 ทำจิตให้สงบ เบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะคลื่นเสียงที่ดังกึกก้องจะไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้นต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก (อันนี้ผมคิดว่า มีส่วนจริงมากทีเดียว เราควรจะหาที่อุดหูเตรียมไว้ด้วยนะครับ)
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง (ผมว่าลองคิดว่า พวกเราทุกคน ทุกสิ่งล้วนมาจากความว่างเปล่า ทำใจให้ผ่อนคลาย ทำนองนี้)
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา (ฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5ไว้ครับ อาจจะทำให้สัมผัสที่ 6 ที่หลับใหลอยู่ในตัวของพวกเราทุกคนตื่นขึ้นมาก็ได้นะ)
การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
1. ได้ยินเสียงใด ให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป (ผมว่าข้อนี้พวกเราไม่ควรจะเพิกเฉยต่อการที่ได้เห็น ได้ยินคนอื่นกำลังจะตายนะครับ ช่วยเขาเถอะครับ โปรดเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาก็คือเรา เราก็คือเขา พวกเราล้วนกำเนิดมาจากที่เดียวกัน นั่นคือพลังงานจากความว่างเปล่า ปล.นอกซะจากจะรู้้แน่ๆว่ายังไงเราก็ไม่มีทางช่วยเขาได้แน่ อันนั้นจงอย่าเผยตัวหรือออกไปช่วย เพราะอาจจะทำให้ไปตายหมู่ก็ได้ )
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้เกิดความกลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ (ผมว่าควรอยู่นิ่งๆจะดีกว่านะครับ เพราะการทำกิจกรรมต่างๆมันจะผลาญพลังงานเราไปเรื่อย ๆ จะทำให้เราหิวและอยากอาหารมากขึ้น)
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่จะเกิดนั้นจะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 (ตรงกับข้อมูลที่ผมได้รับทราบจากหลายๆแหล่ง)
มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล หลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลก (ผมได้ทราบมาว่า จะมีคลื่นเสียงที่มีอำนาจมากๆโจมตีโลก ซึ่งตรงกับข้อความนี้มาก)
จงเตรียมตัวให้พร้อม..!!

เครดิต : http://atcloud.com/stories/29132

ประเภทของบุคคลที่ไม่พึงประสงค์บน facebook ไว้ 12 แบบด้วยกัน

 

ทาง CNN.com ได้ทำการแบ่งประเภทของบุคคลที่ไม่พึงประสงค์บน facebook ไว้ 12 แบบ ลองอ่านกันดูนะครับว่า เพื่อนๆ  ถูกจัดไว้ประเภทไหนกันบ้างรึเปล่า บางคนเป็นมากกว่าหนึ่งประเภทนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

996b6965b289adf68b6c90c85e28c7b3

1. The Let-Me-Tell-You-Every-Detail-of-My-Day Bore

พวก ที่คิดว่าทุกอย่างที่ฉันทำอยู่ ทุกคนจะต้องรับรู้มัน เช่น “ตื่นนอนแล้วนะจ๊ะ” “กำลังกินข้าวเที่ยงอยู่” อะไรประมาณนั้น จะเห็นได้ว่าทุกจังหวะชีวิตของคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ จะสามารถที่จะรู้ได้ โดยการเข้าไปอ่านจากสถานะของเธอบน facebook

2. The Self-Promoter

พวก ที่คอยเอาแต่โฆษณาขายของแต่ของตัวเอง มันคงไม่แปลกถ้าเราจะโพสลิงค์ไปที่เว็บใดเว็บนึง แต่ถ้าทุกครั้งที่เราทำการส่งลิงค์ไปนั้น กลับเป็นแต่ลิงค์ของเว็บเราเอง เราก็คงจะไม่ชอบมากนักใช่มั๊ยครับ

3. The Friend-Padder

พวก รวยเพื่อน คนบน Facebook ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนอยู่ประมาณหลักร้อยคน แต่ถ้าใครที่มีเพื่อนเป็นหลักพัน โอ้วแม่เจ้า! คุณคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นเพื่อนเค้าจริงๆ หรือเปล่า? เออ… หรือไม่แน่เค้าคนนี้อาจจะเป็นดาราดังก็ได้นะ

facebook_people

4. The Town Crier

พวกนักข่าวประจำหมู่บ้าน พวกนี้นี้ถ้ามีข่าวอะไรเกิดขึ้น คุณจะได้ยินจากคนพวกนี้เป็นกลุ่มแรก!

5. The TMIer

พวก พูดจาน้ำท่วมทุ่ง (TMI: Too Much Information) คือประเด็นมันมีแค่นิดนึง แต่ก็จะพูดยาวๆ ซะจนยืดเยื้อน่ารำคาญ บางทีก็พูดในสิ่งที่ไม่ควรจะพูดมากนัก ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตสมรสที่ล้มเหลว การไปมีเซ็กส์กับคนอื่นแบบไม่ตั้งใจ เป็นต้น

6. The Bad Grammarian

พวก ที่ชอบเขียนแบบผิดๆ โดยที่นึกว่าตัวเองเขียนแบบนี้ไปแล้ว คนอื่นจะมองว่าตัวเองเท่ห์ ตัวเองจริง แต่ว่าคนอื่นอาจจะมองได้ว่า ไอ้นี่มันเรียนจบป.6 แล้วหรือยัง?

7. The Sympathy-Baiter

พวก ที่ชอบขอความเห็นใจจากคนอื่น พวกนี้มักจะโพสต์สถานะของตัวเองไว้ว่า “วันนี้รู้สึกแย่จังเลย” “คืนนี้ฉันเหงาจัง” อะไรประมาณนี้ คนอะไรมันถึงจะเศร้าอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

8. The Lurker

พวก เสือซุ่ม คือพวกนี้จะไม่ค่อยอัพเดทสถานะของตัวเองซักเท่าไหร่ บางทีอาจจะขี้เกียจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้มีโอกาศคุยกับเค้าแล้วละก็ คุณอาจจะสงสัยได้ว่า ไอ้หมอนี้มันรู้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเห็นมันเข้ามามีกิจกรรมใน Facebook เท่าไหร่เลยนี่หว่า

9. The Crank

พวก กลุ่มคนขี้โมโห ต่อต้านสังคม เฮียคลั่ง พวกนี้มักจะใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างดิบ เถื่อน รุนแรง ดิบๆ แล้วก็ชวนให้ทะเลาะด้วย เวลาที่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้ทำการโพสสถานะของพวกเค้าบน Facebook

10

10. The Paparazzo

พวก ปาปารัซซี่เรียกพี่ พวกนี้มักจะเอารูปของคนอื่นไปโพสไว้ โดยที่เจ้าของยังไม่รู้ตัวเลยว่า ไอ้รูปพวกนี้มันมาจากใคร ที่ไหน หรือว่าตอนไหนหว่า?

11. The Maddening Obscurist

พวก ที่ชอบพูดไรคลุมเคลือ หรือว่าจับความไรไม่ค่อยได้ บางทีก็เพ้อออกมาลอยๆ ซะงั๊น บางอย่างก็เป็นอะไรที่ขัดกันอยู่ในตัวมันเอง เช่น “ฉันคิดว่าไอ้นี่มันเรียนเก่งดีนะ แต่ฉันว่าเค้าก็ไม่ได้โง่หรอก” ???

12. The Chronic Inviter

พวก ชื่นชอบชวนเชื้อเชิญ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์เอย คำถามปัญญาอ่อนเอย (แต่ผมก็ชอบอ่านนะ ฮาดี) บางทีส่งมา Invite กันจัง ทุกวัน วันละ 3 เวลา บางทีก็ชวนไปเข้าแก๊งค์นี้มั่ง ไปลอบฆ่าคนๆ นั้นมั่ง ประมาณนี้

เป็น ยังไงกันบ้างครับ กับ 12 กลุ่มคนไม่น่าพึงประสงค์บน Facebook ... แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ก็อยากให้คิดกันนิดนึงนะครับว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำอยู่บนอินเตอร์เนตนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ ก็เหมือนกับเรากำลังทำอยู่บนโลกจริงๆ ของเรา เพราะไม่ว่าจะโลกออนไลน์ หรือว่าออฟไลน์ สิ่งต่างๆ ที่เราทำลงไปนั้น ก็จะมีผลกระทบต่อผู้อื่นเหมือนๆ กันเลยนะครับผม

ที่มา : http://facebook.in.th

Loading

แบ่งปัน/แชร์ใหักับเพื่อนๆ

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More