กรมวิทย์เปิดโครงการ เรียนรู้นอกตำรา “ถุงยางอนามัยฯ” พิพิธภัณฑ์ถุงยางฯ ช่วยเสริมสร้างความรู้เพิ่ม หวังแก้ปัญหาเอดส์-ท้องก่อนวัยฯ ด้าน หน.กลุ่มโรคเอดส์เผยคนไทยขอถุงยางฯ ขนาดบิ๊กไซส์ ขณะวัยโจ๋นิยมซื้อเบอร์ 32 ผ่านเว็บ
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเรียนรู้นอกตำรา “ถุงยางอนามัยดี มีคุณภาพ (สากล)” และเปิดพิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัย โดย ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า การที่มีโครงการดังกล่าวนั้นจะช่วยคนไทยที่มีความเข้าใจผิดกันมากในการใช้ ถุงยางอนามัยเข้าใจถูกต้อง ตลอดจนสร้างทัศนคติที่ดีของการใช้ถุงยางแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเหมาะสมแก่การใช้ ด้วย ส่วนพิพิธิภัณฑ์นั้นก็จะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมมีโอกาสได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนของ การทดสอบมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เปิดห้องปฏิบัติการทดสอบถุงยางอนามัยมาอย่าง ต่อเนื่อง โดยผลการทดสอบมาตรฐานของถุงยางจากร้านขายยา ผู้แทนจำหน่ายและหน่วยงานราชการ ในช่วงปีงบประมาณ 2551-2553 พบผ่านมาตรฐานเฉลี่ยร้อยละ 99
“การที่ประชาชนมีความ เข้าใจในเรื่องการใช้ถุงยางอนามัย นั้นจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาการท้องก่อนวัยอันควรและการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้” ดร.พรรณสิริกล่าว
ด้าน นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กล่าวว่า ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตผลิต นำเข้า รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพก่อนการวางจำหน่ายตามท้องตลาด ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกรมวิทย์ที่ต้องดำเนินการตรวจสอบผ่านกระบวนการใน ห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดการยอมรับคุณภาพทั้งในและต่าง ประเทศ ภายใต้มาตรฐานตามกำหนดใน พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 (ปัจจุบัน พ.ศ.2551)
ด้าน นางนิภา ศรีบรรทัดทอง พนักงานห้องปฏิบัติการตรวจสอบการรั่วซึมของถุงยางอนามัย กล่าวว่า ในการตรวจสอบการรั่วซึมในถุงยางแต่ละตัวอย่างนั้นจะตรวจครั้งละประมาณ 315 ชิ้น หากพบว่ามีการรั่วซึม 3 ชิ้นขึ้นไปจะแจ้งผลต่อผู้ปะกอบการให้ดำเนินการแก้ไขและส่งตรวจสอบอีกครั้งจน กว่าจะเข้ามาตรฐานที่กำหนด
ขณะที่นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จาก การลงพื้นที่แจกถุงยางอนามัยนั้นพบว่า ประชาชนมีความต้องการใช้ถุงยางอนามัยในขนาดที่ใหญ่ขึ้น จากเดิมนิยมใช้ขนาด 49 มม. ก็กลายมาเป็นความต้องการใช้ในขนาด 52 มม. นอกจากนี้ ยังพบว่าขณะนี้มีการเปิดบริการเว็บไซต์จำหน่ายถุงยางในขนาด 32 มม. ซึ่งกลุ่มที่ใช้นั้นเป็นกลุ่มเด็กวัยมัธยม
ref http://tinyurl.com/3am36n6
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น